วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อยากท้อง..คุณรู้มั๊ยการทานอาหารที่ถูกช่วยคุณได้ !!

อยากท้องกันอยู่ใช่ไหม !! สำหรับใครที่กำลังอยากจะตั้งท้อง อยากมีลูก ทางเรา มีโภขนาการอาหารเด็ดๆ มาฝากสาวๆ ที่อยากมีลูกแต่ยังไม่มีสักที อาหารบางชนิดดีกับการมีประจำเดือน ปกป้องดูแลเซลล์สืบพันธุ์ และ กระตุ้นการตกไข่ให้มีประสิทธิภาพ เรามาดู อาหาร 8 อย่างที่จะมาเป็นตัวช่วยเสริมสร้างร่างกายให้พร้อมมีลูกกันเถอะค่ะ

มาดูว่า 8 อาหารต้องกินของคนอยากท้อง มีอะไรบ้าง..



1. ถั่ว ถั่วมีโปรตีนสูง ซึ่งจากงานวิจัยหลายงานพบว่าผู้หญิงที่มีลูกยากเพราะได้รับโปรตีนจากสัตว์มากเกินไป ดังนั้นควรเปลี่ยนมารับโปรตีนจากพืชอย่าง “ถั่ว” แทน



2. หอยนางรม หอยนางรมเป็นแหล่งธาตุอาหารสังกะสี (Zinc) สำคัญ การขาดธาตุสังกะสีจะทำให้ร่างกายผลิตไข่ที่มีคุณภาพได้ช้า และนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการคั้งครรภ์แล้ว หอยนางรมยังเชื่อกันว่าเป็นยาโด๊ปเพิ่มพลังทางเพศด้วย ไม่เชื่อลองดูกันเลยค่ะ!




3. ผักใบเขียว การกินผักใบเขียวเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิงที่ต้องการเตรียมตัวตั้งครรภ์ ในผักใบเขียมีวิตามินอี ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการตกไข่ได้ ลองเพิ่มผักใบเขียวอย่าง คะน้า ผักโขม บร๊อคโคลี่ ฯลฯ ลงในเมนูมื้อถัดไปดูนะคะ





4. ธาตุเหล็กที่ได้จากพืช ธาตุเหล็กที่ได้จากพืชจะดูดซึมได้เร็วกว่าธาตุเหล็กจากสัตว์ ซึ่งเราจะพบได้มากจากเมล็ดฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ถั่ว ฯลฯ โดยผู้หญิงหลายคนจะมีภาวะขาดธาตุเหล็ก ดังนั้นจึงถ้ามีภาวะขาดธาตุเหล็กอาจจะต้องเสริมด้วยอาหารเสริมเพิ่มเติมบ้าง



5. นมสด 100% นมเป็นแหล่งเสริมแคลเซียมชั้นดี และเป็นผู้ช่วยสำหรับใครที่อยากตกไข่ ซึ่งถ้าอยากมีลูกแนะนำเป็นนมสด 100% ที่ไม่ใช่นมพร่องมันเนยค่ะ



6. ปลาไขมันสูง ปลาแซลมอน ปลาแฮรี่ และปลาทะเลไขมันสูงอื่ๆ เป็นแหล่งของกรดโอเมก้า 3 ชั้นดี สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะสืบพันธุ์และช่วยให้ฮอร์โมนสมดุล แต่ถ้าไม่ชอบปลาอาจจะหาโอเมก้า 3 จากอัลมอนด์ วอลนัท หรือเมล็ดฟักทอง



7. คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน Complex carbs ปกติเรากินคาร์โบไฮเดรต พวกแป้ง ข้าวต่างๆ เป็นอาหารหลักกันอยู่แล้ว แต่ถ้าอยากมีลูกควรเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตปกติที่กินปกติเป็น คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ขนมปังโฮลวีต หรือ ผักผลไม้บางชนิดบางชนิด ซึ่งคาร์โบไฮเดรตประเภทนี้จะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป เหมือนคาร์โบไฮเดรตปกติ ซึ่งการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินจะรบกวนการทำงานของฮอร์โมนสืบพันธุ์ และมีผลกับประจำเดือน




8. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่และบลูเบอร์รี่ เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพภาวะเจริญพันธุ์ หรือสตรอว์เบอร์รี่ก็ใช้ได้เช่นกัน เพราะเบอร์รี่พวกนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งจะช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย (รวมถึงเซลล์สืบพันธุ์เช่นไข่ด้วย)




ขอบคุณข้อมูล : http://www.momypedia.com/


คุณแม่มือใหม่ ...ควรเลือกผ้าอ้อมแบบไหนดี มีคำตอบ

คุณแม่มือใหม่หลาย ๆ คนอาจกำลังหาคำตอบ ....เลือกผ้าอ้อมแบบไหนดี จึงจะเหมาะกับ ลูกน้อย วันนี้เรามี เกร็ดความรู้เรื่องผ้าอ้อมเด็ก มาฝากกันค่ะ ^^
ผ้าอ้อม ในท้องตลาดมีผ้าให้เลือกหลายชนิด หลายเกรด หลายราคา ดังนั้นคุณแม่ควรศึกษาข้อมูลและคุณสมบัติของผ้าแต่ละชนิดให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ ผ้าอ้อม ให้ลูกน้อย




1.ผ้าอ้อม เนื้อผ้าสาลู

>> คุณสมบัติเด่น คือ ซับน้ำได้ดี ไม่เป็นขน แห้งไว ระบายอากาศดี เหมาะที่จะใช้ในฤดูฝน เพราะแห้งเร็วมาก ซักง่าย  ซักแล้วเนื้อไม่ยุ่ย ราคาปานกลาง >> ข้อควรระวังกับการเลือกซื้อผ้าอ้อมชนิดนี้คือ กระบานการเย็บจะมี 2 แบบ คือ
1.1. แบบโพ้งริม Over Lock ราคาถูกมาก และอายุการใช้งานต่ำมาก
1.2. แบบเย็บริม Lockstitch ราคาสูงกว่า แต่อายุการใช้งานนานกว่าหลายเท่าตัวดังนั้นจึงแนะนำให้เลือกซื้อแบบเย็บริม (Lockstitch) จะดีกว่า ซื้อตั้งแต่ลูกคนแรก บางครั้งอาจใช้ได้ถึงลูกคนต่อไป (ไม่ต้องซื้อบ่อยๆ และยังช่วยลดปริมาณขยะได้อีกทางหนึ่งด้วย)

ผ้าสาลูมีหลายเกรด เกรดที่ดีจะเป็นผ้าสาลูอย่างดี เกรด A (เป็นผ้าสาลูที่มีส่วนผสมของผ้าฝ้าย cotton100%)  ข้อสังเกต  เวลาดูเนื้อผ้า เนื้อจะแน่ ตาผ้าจะถี่มาก (แน่นคล้ายผ้าปูที่นอน แต่นุ่มกว่ามาก) ลายผ้าจะสกรีนชัดเจน ส่วนผ้าสาลูเกรดธรรมดา เนื้อผ้าจะห่างๆ (ถี่กว่าผ้าขาวบาง) ลายผ้าจะไม่ชัดเจน และราคาถูก ซักแล้วจะไม่ค่อยเก็บน้ำและยุ่ยง่าย ไม่ทน ใช้ไปไม่นานก็ขาด

2.ผ้าอ้อม เนื้อผ้าสำลี
>> คุณสมบัติเด่น คือ การดูดซับน้ำได้ดี แต่ใส่แล้วไม่ระบายอากาศ ผ้าหนา ซักแห้งยาก ซักแล้วเป็นขน ใช้ไปนานๆ เนื้อผ้าจะแข็งขึ้นและเป็นขน ราคาปานกลาง ผ้าสำลีมีหลายเกรด เกรดธรรมดาเนื้อผ้าจะแข็งและตาผ้าจะห่างกว่าผ้าสำลีอย่างดี จะไม่ค่อยมีขนผ้าและเนื้อไม่นุ่ม อย่างไรก็ตาม ผ้าอ้อมชนิดนี้เหมาะที่จะใช้ในฤดูหนาวหรือห้องแอร์ใช้แล้วลูกน้อยจะรู้สึกอบอุ่น (หรือบางทีเรียกว่าผ้าคอสโม)
ข้อสังเกต ในการเลือกซื้อให้ดูที่เนื้อผ้าเรื่องความห่างของตาผ้าและความหยาบของเนื้อผ้า เลือกผ้านุ่มๆ มีขนฟูเยอะๆ

3.ผ้าอ้อมเด็กผ้าไม่ทอ
ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าผ้าชนิดนี้ในท้องตลาดมักเรียกว่าผ้าอ้อมผ้าฝ้าย ซึ่งเรียกผิดอยู่ เป็นการเข้าใจผิดเพราะผ้าไม่ทอชนิดนี้ ไม่ได้ทำมาจากเส้นใยฝ้ายธรรมชาติ แต่เป็นผ้ามาจากเส้นใยสังเคราะห์ เหตุที่เรียกว่าผ้าไม่ทอ (Nonwoven) เพราะผ้าชนิดนี้เกิดจากการนำเส้นใยมาเรียงตัวกันเป็นผ้าเลย โดยไม่ต้องผ่านการถักทอ จึงเรียกว่าผ้าไม่ทอ
>>คุณสมบัติเด่น คือ เนื่องจากทำมาจากเส้นใยสังเคราะห์ เวลานำไปพิมพ์ลาย ลายที่ได้จะมีความคมชัด สวยงามมาก แต่คุณสมบัติการดูดซึมน้ำจะไม่ดี เนื้อผ้าค่อนข้างแข็ง ใส่แล้วไม่ระบายอากาศ ราคาปานกลาง

4.ผ้าอ้อมเด็กผ้าสาลูเนื้อผ้าฝ้ายธรรมชาติ 100%
>> คุณสมบัติเด่น เนื่องจากทำมาจากเส้นใยผ้าฝ้ายธรรมชาติ 100% แห้งไว การดูดซึมความชื้นดี การระบายอากาศดี ใช้ได้ทุกฤดู ซักง่าย เนื้อผ้านุ่มนวล น่าสัมผัส ใช้แล้วลูกน้อยรู้สึกสบายตัว อารมณ์ดี เวลาซักแล้วผ้าจะยับเล็กน้อย และราคาสูง

5.ผ้าอ้อมเด็กผ้าสาลูทอ 2 ชั้น เนื้อผ้าฝ้ายธรรมชาติ 100%
>>คุณสมบัติเด่น  คือ แห้งไว การดูดซึมความชื้นดี การระบายอากาศดี ใช้ได้กับทุกฤดู ซักง่าย เนื้อผ้านุ่มนวล น่าสัมผัส ผ้าดูแล้วมีมิติ เนื้องจากลายทอ ใช้แล้วลูกน้อยรู้สึกสบายตัว อารมณ์ดี แต่มีราคาสูง
ข้อควรระวังกับการเลือกซื้อผ้าอ้อมชนิดนี้คือ กระบวนการเย็บจะมี 2 แบบ คือ
1. แบบโพ้งริม Over Lock ควรซักมือเท่านั้น เพื่อยืดอายุการใช้งาน
2. แบบเย็บพับริม Lockstitch ราคาจะสูงกว่านิดหน่อย แต่สามารถซักด้วยเครื่องซักผ้าได้ และมีอายุการใช้งานนาน

6. ผ้าฝ้าย (เป็นคนละแบบที่ผสมกับผ้าสาลู)

>> คุณสมบัติเด่น คือ ซับน้ำได้น้อย ผ้าจะลื่น เนื้อผ้าเป็นขนและแข็ง แต่มีความแข็งแรง ทนทานต่อการซัก ลวดลาดชัดเจน สวยงาม นิยมนำมาทำเป็นผ้ารองปูนอน และทำเป็นผ้ากันเปื้อนรองนอนแล้วเย็บติดกับผ้ายางไว้ ที่เราเรียกว่าผ้ายางสักราด เนื่องจากตัวผ้าจะไม่ค่อยยับ คืยรูปง่าย แต่ไม่เหมาะนำมาทำเป้นผ้าอ้อม หรือพับเป็นกางเกงซับฉี่เด็ก

 ผ้าอ้อมผ้าสาลู


ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก… babyplayshop.com  

อยากให้ลูกหัวสวย หัวทุย หัวไม่แบน คุณแม่มือใหม่ต้องรู้..

อีกหนึ่งเรื่องกังวลของพ่อแม่มือใหม่คงหนีไม่พ้นเรื่องลูกอยากให้ลูกหัวสวย หัวทุย หัวไม่แบน แต่ปัจจุบันเด็กหัวแบนกันมากขึ้น เนื่องจากทางการแพทย์แล้วแนะนำให้เด็กทารกนอนหงายมากกว่านอนคว่ำ  เพื่อป้องกันภาวะ SIDS (Sudden Death Syndrome) หรือโอกาสที่เด็กจะเสียชีวิตขณะนอนหลับ


สาเหตุของการหัวแบนเนื่องมาจากกระดูกของเด็กแรกเกิดเป็นกระดูกที่มีความอ่อน หากนอนทับอยู่ในตำแหน่งเดิมตลอดเวลาก็จะทำให้กะโหลกศีรษะของเด็กแบนได้ อย่างไรก็ดีภาวะหัวแบนไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด (ส่งผลกับความสวยงามของรูปศีรษะเท่านั้น) สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่อยากให้ลูกหัวแบนมีคำแนะนำง่ายๆ ดังนี้ค่ะ


วิธีป้องกันลูกหัวแบน

1.จัดท่านอนให้ลูกตะแคงข้าง สลับข้างไปมาซ้ายบ้าง ขวาบ้าง

2.ให้ลูกนอนคว่ำ หัวสวยแน่นอน แต่ก็ค่อนข้างอันตรายในเด็กสามเดือนแรก เพราะอาจทำให้เด็กขาดอากาศหายใจ ถ้าจับลูกนอนคว่ำ พ่อแม่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าให้มีหมอนหรือสิ่งของอื่นๆ อุดจมูกลูก

3.ถ้าลูกไม่ยอมนอนคว่ำให้หาหมอนหลุมมาให้ลูกนอน

4.ช่วงที่ลูกตื่นอย่าให้ลูกอยู่ในท่านอนหงายเพียงอย่างเดียว ให้ลูกอยู่ในท่าอื่นๆ ด้วย เช่น คว่ำชันนคอ ตะแคงหรืออุ้มลูกขึ้นมา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

5.ไม่ควรให้นอนในคาร์ซีท หรือรถเข็นเด็กนานเกินไป

6.การอุ้มลูกก็ควรสลับข้างไปมาซ้ายขวาเช่นกัน

7.ถ้าจะอุ้มลูกไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือพาออกไปข้างนอก ก็ควรใช้เป้อุ้มเด็ก เพื่อให้คอและหัวของลูกเป็นอิสระ

ทีนีเรามาดูท่านอนที่เหมาะกับลูกวัย 6 เดือนแรกกันค่ะ



ขอบคุณที่มาจาก theasianparent.com

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

นมสำหรับคนท้อง ถ้ากำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ควรเริ่มดื่มนมแบบไหนดีคะที่ช่วยบำรุงทั้งแม่ และลูกค่ะ..

นมสำหรับคนท้อง จำเป็นต้องดื่มหรือไม่ ถ้าดื่มควรดื่มนมแบบไหน ยี่ห้อไหนดี ที่นี่อาจให้คำตอบสำหรับคุณ..


ถ้ากำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ควรเริ่มดื่มนมแบบไหนดีคะที่ช่วยบำรุงทั้งแม่ และลูกค่ะ..คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ควรดื่มนมแบบไหนที่จะช่วยเสริมสารอาหารครบถ้วนให้ทั้งคุณแม่ และคุณลูกน่ะค่ะ อยากถามความเห็นของคุณแม่ที่มีประสบการณ์มาก่อน ว่าส่วนใหญ่จะดื่มนมยี่ห้อไหนกันบ้างคะ กับอีกหลาย ๆ คำถาม คิดว่าหลาย ๆ คนคงเคยเจอปัญหานี้ 
 นมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

จริง ๆ แล้ว นม นมยี่ห้ออะไรก็ได้ที่สด ใหม่ ผ่านกรรมวิธีแปรรูปน้อยที่สุด ราคาถูกที่สุด รสจืด กินหลาย ๆ สลับกันไป แค่วันละ 2 แก้วก็พอพร้อมกับอาหารหลากหลายชนิด จะลดการเสี่ยงต่อการแพ้ค่ะ มีทั้งนมวัว นมถั่วเหลือง นมแพะ นมข้าวโพด อาหารโปรตีนแคลเซี่ยมที่มีจากเนื้อสัตว์ พืช เยอะแยะ

เพราะจากการวิจัยพบว่า"แม่มือใหม่ดื่มนมวัว ลูกเสี่ยงเป็นภูมิแพ้"

พวกเราสังเกตไหมว่า เด็กไทยเป็นภูมิแพ้กันเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้ที่ผิวหนัง แพ้นมวัว แพ้อาหาร แพ้อากาศ ทำให้ป่วยบ่อยขึ้น ง่ายขึ้น  เนื่องจากโปรตีนนมวัวมีโมเลกุลใหญ่กว่าโปรตีนในนมแม่ ร่างกายของลูกจึงทำปฏิกริยาต่อต้านโปรตีนแปลกปลอมนั้นๆ ก่อให้เกิดภาวะ "ภูมิแพ้" ให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นผื่นที่ผิว ผื่นแดงที่ริมฝีปากและแก้ม ไอจาม หายใจครืดคราด เป็นต้น วันนี้จึงขอนำเสนอบทความนี้เพื่อให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร อ่านเพื่อเป็นข้อมูลต่อไปค่ะ 
 
ตามข่าวจากไทยโพสต์ รศ.พญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในการสัมมนาเรื่อง "สืบให้รู้แน่โรคภูมิแพ้ป้องกันได้" ว่า ขณะนี้คนไทยทั้งประเทศเป็นภูมิแพ้ร้อยละ 60  ปัจจุบันมีปัญหาการเกิดภูมิแพ้เพิ่มขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อาทิ พบว่ามีเด็กแพ้อากาศเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 37.5 เป็นร้อยละ 49.3 และมักจะพบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง ช่วงอายุเฉลี่ย 14.8 เดือน หรือ 7 วัน-13 ปี โดยปัจจัยหลักในการเกิดภูมิแพ้ คือ ประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว
 
นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้บ่อยที่สุดคือ อาหาร  โดยเฉพาะเด็กเล็กในช่วงขวบปีแรกจะมีอาการแพ้นมวัว ซึ่งอาการแพ้นมวัวจะนำไปสู่อาการภูมิแพ้อีกหลายระบบ อาทิ ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหารและระบบผิวหนัง      สำหรับการป้องกันการเกิดภูมิแพ้ตั้งแต่ขั้นปฐมภูมิ คือ ระหว่างการตั้งครรภ์แม่ไม่ควรตั้งใจดื่มนมวัวมากเกินไป เพราะเข้าใจว่าช่วงตั้งครรภ์ควรดื่มนมวัวมากๆ แล้วจะดีกับลูก แต่ความจริงนมวัวจะไปกระตุ้นสารต่อต้านภูมิคุ้มกันของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์
 
หากแม่ต้องการเสริมแคลเซียม แนะนำให้รับประทานแคลเซียมเม็ด และรับประทานนมไปตามปกติ และควรหลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่จะมากระตุ้นสารต่อต้านภูมิคุ้มกันของเด็ก เช่น ควันบุหรี่ รวมทั้งการติดเชื้อ แต่ระหว่างการให้นมบุตรแม่ก็ไม่ควรบริโภคนมวัวมากจนเกินไป 

อย่างไรก็ตามคุณแม่มือใหม่ที่คิดว่านมผงยังมีความจำเป็นสำหรับทานเสริมนอกจากอาหารหลักทั้ง 5 หมู่แล้ว ท่านที่ไม่สะดวกเดินทางในระหว่างตั้งครรภ์ ปัจจุบันมีเวปไซด์จำหน่าย นมสำหรับคุณแม่ออนไลน์ จ่ายด้วยบัตรเครดิตหรือชำระเงินปลายทาง ท่านสามารถตรวจสอบราคาและสั่งซื้อนมสำหรับคุณแม่มือใหม่ได้ที่นี่

 นมผงสำหรับคุณแม่มือใหม่



 
*** สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่ลูกร้องไห้โยเยบ่อยครั้ง มีลมในท้องมาก ให้ลองสังเกตดูว่าเราได้กินนมวัวหรือผลิตภัณฑ์นมวัว (ครีม ชีส โยเกิร์ต ฯลฯ) หรือไม่ เพราะโปรตีนนมวัวนั้นสามารถส่งผ่านไปถึงลูกทางน้ำนมแม่ได้ ก่อให้เกิดความไม่สบายต่อร่างกายไปจนถึงผื่นแพ้ ผิวเป็นขุยได้ค่ะ  ด้วยความปรารถนาดี  ส่วนคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ก็อย่าโหมทานนมวัวมากนะคะ เพราะโปรตีนแปลกปลอมสามารถทำให้ลูกในครรภ์แพ้นมวัวได้ค่ะ ***


เครื่องปั๊มนม ข้อคิดก่อนซื้อ ที่ปั๊มนม

ขายเครื่องปั๊มนม แผ่นซับน้ำนม ที่ปั๊มน้ำนมอัตโนมัติ ใช้งานง่าย ปลอดภัย ไร้สารพิษตกค้าง เก็บเงินปลายทาง สั่งซื้อง่าย ได้ของแน่ มีของชัวร์ ราคาถูก มีคุณภาพ รับประกันสินค้า



ข้อคิดก่อนซื้อ ที่ปั๊มนม
           ถ้าคุณมั่นใจแล้วว่า  “จะต้องเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้  ไม่ว่าจะยังไง ก็จะสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อลูกจะได้กินนมเรา”  ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็  คุณก็ควรจะมี เครื่องปั๊มนมดีๆ สักอัน  เพราะมันสามารถช่วยคุณได้ในหลายๆ เรื่อง ทั้งการกระตุ้นเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนม  ช่วยรักษาปริมาณน้ำนมให้คงอยู่ในกรณีที่ลูกดูดไม่ได้  ช่วยทำ stock น้ำนม ถ้าต้องกลับไปทำงาน
            แต่ถ้าคุณยังไม่มั่นใจว่า จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้หรือเปล่า  (ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น ถ้าคุณได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้มากพอ ทั้งจากการอ่านหนังสือ  อินเตอร์เน็ต หรือปรึกษาผู้มีประสบการณ์) คุณก็อาจจะยังไม่ควรซื้อ ที่ปั๊มนม  เพราะที่ปั๊มนมดีๆ  ราคาค่อนข้างแพง  มีแม่จำนวนมากที่ซื้อไปแล้วไม่ได้ใช้  ซึ่งเป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุ
 
           อย่างไรก็ตาม ก่อนจะตัดสินใจซื้อ ที่ปั๊มนม  มีสิ่งที่ควรพิจารณาดังนี้

1.คุณจำเป็นต้องใช้มันหรือไม่
     
          ถ้าคุณเป็นแม่ที่ไม่ได้ทำงานประจำ  เลี้ยงลูกอยู่กับบ้านตลอดเวลา  ลูกเป็นเด็กแข็งแรง ดูดนมบ่อยสม่ำเสมอทุก 1-3 ช.ม. กรณีนี้คุณก็อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ ถ้าจะมีบางครั้งที่ต้องอยู่ห่างลูกบ้าง  ก็สามารถบีบน้ำนมด้วยมือเก็บไว้ให้ลูกได้

2.ถ้าจำเป็นต้องใช้  สิ่งที่ต้องคำนึงถึงประการต่อมาก็คือ ต้องใช้บ่อยแค่ไหน

         เพราะ เครื่องปั๊มนม  แต่ละรุ่น ถูกออกแบบมาให้รองรับการใช้งานแตกต่างกัน  ถ้าคุณไม่ได้ทำงานประจำ  แต่มีช่วงเวลาที่ต้องห่างจากลูกบ้างสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง  ครั้งละไม่กี่ช.ม.  เครื่องปั๊มนมที่คุณจะเลือกใช้ได้ก็อาจจะเป็นแบบใช้มือ (manual)  หรือแบบไฟฟ้ารุ่นเล็ก (mini electric)
         
          แต่ถ้าคุณต้องทำงานประจำเต็มเวลา   คุณจะต้องปั๊มนมวันละ 3 ครั้ง (เป็นอย่างน้อย) สัปดาห์ละ 5-6 วัน กรณีนี้  เครื่องปั๊มนมไฟฟ้ารุ่นใหญ่  หรือแบบเช่าใช้จะเหมาะกว่า  เพราะสามารถเลือกใช้แบบปั๊มคู่ (double pump) ได้  ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการปั๊มแต่ละครั้ง นอกจากนี้ เครื่องรุ่นใหญ่จะมีประสิทธิภาพดีกว่ามาก จังหวะการปั๊มจะใกล้เคียงทารกดูด  ช่วยกระตุ้นกระสร้างน้ำนม และรักษาปริมาณน้ำนมให้คงอยู่สม่ำเสมอ
             
         อย่างไรก็ตามข้อเสียของเครื่องปั๊มนมรุ่นใหญ่ก็คือ ไม่สะดวกต่อการพกพา  นอกจากนี้บางรุ่นก็ไม่สามารถใช้ถ่านได้ ต้องใช้ไฟอย่างเดียว   คุณต้องพิจารณาด้วยว่า ในที่ทำงาน มีสถานที่ให้คุณทำการปั๊มนมได้อย่างสะดวกหรือไม่  ถ้าต้องปั๊มในห้องน้ำ  อาจจำเป็นต้องใช้แบบมือ หรือมอเตอร์รุ่นเล็กแทน

3. เครื่องปั๊มนม แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น มีคุณภาพไม่เหมือนกัน
           
            ที่ปั๊มนมดีๆ  ช่วยให้คุณเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ง่ายขึ้น ที่ปั๊มนม แย่ๆ  ทำให้คุณเจ็บและเสียเงินเปล่า  อย่าซื้อโดยไม่หาข้อมูลสอบถามจากผู้ที่เคยใช้  แล้วพิจารณาให้ดีว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเองมากที่สุด
           
            ถ้าคิดว่าเครื่องปั๊มนมมีราคาแพง  ให้เปรียบเทียบกับเงินที่คุณจะประหยัดได้จากการไม่ต้องซื้อนมผสม  ขวดนมจำนวนมาก ที่นึ่งขวดนมและอุปกรณ์ต่างๆ  รวมทั้งค่าใช้จ่าย ในการรักษาลูกที่ป่วยบ่อยจากการไม่ได้กินนมแม่

        *** อย่าเลือกซื้อ เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อที่ผลิตและจำหน่ายโดยผู้ผลิตสินค้าประเภทอื่นๆ เป็นหลัก โดยเฉพาะ ขวดนมสารพัดรุ่น จุกนมหลายแบบ ของเล่น ฯลฯ เพราะนอกจากผู้ผลิตเหล่านั้น จะไม่มีความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีในการผลิตเครื่องปั๊มนมคุณภาพดีแล้ว  บางบริษัทยังเจตนาผลิตที่ปั๊มนมไม่มีคุณภาพมาจำหน่าย เพื่อที่คุณแม่ที่ซื้อไปแล้ว จะได้ปั๊มนมไม่ออก และเข้าใจว่าตนเอง ไม่มีน้ำนม  และหันไปเลี้ยงลูกด้วยนมขวดแทน  เพราะบริษัทเหล่านั้นสามารถทำกำไรได้มากกว่าจากการขายขวดนม จุกนม และอุปกรณ์ต่างๆ


4. คุณสมบัติของเครื่องปั๊มนมที่ควรพิจารณา
            เครื่องปั๊มนมที่ดีจะต้องมีแรงดูด (Suction Strength) อย่างน้อย 200 มม.ปรอท จังหวะในการดูดอย่างน้อย 40-60 รอบต่อนาที จึงจะใกล้เคียงการดูดของทารก

            ในช่วง 6-12 สัปดาห์แรก ถ้าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นไปด้วยดี ร่างกายมักจะผลิตน้ำนมได้เกินกว่าความต้องการของทารก การปั๊มนมในช่วงนี้จะค่อนข้างง่าย และได้ปริมาณมาก  แม้ว่าจะใช้เครื่องปั๊มนมที่มีจังหวะในการดูดต่ำกว่า 40 ครั้งต่อนาทีก็ใช้ได้  แต่เมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวแล้ว เครื่องปั๊มนมที่มีจังหวะการดูดต่ำกว่า 40 ครั้งต่อนาที จะทำให้ปั๊มนมไม่ออก  ดังนั้นถ้าจำเป็นต้องปั๊มนมนานกว่า 4 เดือนขึ้นไป ควรเลือกซื้อเครื่องปั๊มนม ที่มีจังหวะในการดูดมากกว่า 40 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป


   

ของใช้เด็กอ่อน ของใช้เด็กทารก

ของใช้แม่และเด็ก ของใช้เด็กอ่อน ขวดนม เครื่องปั้มนม ของใช้จำเป็นสำหรับเด็กทารกวัย 0-1 ปี 

เป็นสิ่งที่พ่อแม่จะต้องเตรียมไว้ให้พร้อมเพื่อการดูแลลูก เช่น ผ้าอ้อม สบู่ แป้ง ขวดนม เป็นต้น. 




  • การเลือกของใช้เป็นเรื่องละเอียดออ่อนที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเอาใจใส่เป็นอย่างมาก เพราะเจ้าหนูวัยขวบปีแรกมีเรื่องของความอ่อนโยน และมีความต้องการของใช้ที่ทำความสะอาดแบบเฉพาะเจาะจงมากๆ ด้วย

การเลือกสบู่
  • เป็นกลาง อ่อนโยนต่อผิวเด็กวัยขวบปีแรกโครงสร้างผิวหนังยังพัฒนาไม่เท่าผู้ใหญ่ ผิวชั้นนอกยังบาง ควรเลือกใช้สบู่สำหรับเด็กแบบอ่อนๆ ที่สามารถชำระล้างคราบเหงื่อได้ดี แต่ไม่มีสารเคมีรุนแรงที่จะทำร้ายผิวหลีกเลี่ยงสบู่ผู้ใหญ่มักมีสารเคมีต่างๆ เช่น น้ำหอม สารช่วยให้ผิวขาว สารรักษาสิว และอื่นๆ ที่เด็กๆ อาจแพ้สบู่เด็กไม่ควรผสมน้ำหอมมากเพราะจะระคายผิวเด็กได้ ต้องมีความเป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกรดหรือด่าง



การเลือกแชมพู
  • เน้นแชมพูที่ฟองน้อยๆ เป็นมิตรต่อดวงตา หรือการันตีว่าไม่แสบตา เพราะฟองมากๆ มักจะมีประจุไฟฟ้าลบในโมเลกุล ซึ่งจะตกค้างเกาะติดกับผิวหนังและเส้นผม ทำให้ผมเสียหรือผิวหนังแห้งกร้านได้ ซึ่งจะระคายเคืองต่อดวงตามาก
  • แชมพูสำหรับเด็ก จะป้องกันการระคายเคืองต่อหนังศีรษะและดวงตา เพราะแชมพูสำหรับเด็กมีองค์ประกอบที่เป็นมิตรกับผิวเด็กมากกว่าแชมพูผู้ใหญ่
  • ความเป็นกรดด่างของแชมพูสำหรับเด็กนั้นควรใกล้เคียงกับความเป็นกรดด่างของน้ำตา เพื่อลดการระคายเคืองเวลาแชมพูเข้าตา ควรเป็นชนิดเหลวใส ไม่ตกตะกอน และผสมน้ำหอมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
  • ครีมนวดผมที่ถูกระบุว่าให้ประโยชน์ต่อเส้นผมผู้ใหญ่ แต่เด็กๆ กลับมีโอกาสแพ้สูง



การเลือกแป้ง
  • เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อนจึงนิยมใช้แป้งกับเด็ก เพื่อให้ตัวลื่นสบาย และหอมสดชื่น
  • ควรเลือกแป้งที่เนื้อละเอียดมากๆ เพื่อดูดซับเหงื่อตามจุดอับต่างๆ
  • ระวังอย่าโรยแป้งมากและโรยแบบฟุ้งกระจาย เพราะเจ้าหนูอาจสูดดมเข้าไป ถ้าแป้งเข้าปอดจะเกิดปอดอักเสบได้
  • เลือกแป้งเด็กที่ไม่ใส่น้ำหอมมากไปเพราะจะระคายผิว และแป้งเด็กไม่ควรผสมรองพื้นเพราะจะล้างออกยาก และเกิดการอุดตันที่ผิวเด็กได้

เสื้อ กางเกง และผ้าอ้อม
  • ผ้าฝ้ายธรรมชาติหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผ้าคอตตอน (cotton) 100% เป็นวัตถุดิบในการผลิตเสื้อผ้าเด็กที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะเนื้อผ้าให้ความอบอุ่นได้ดี มีความคงทนและเป็นผ้าเนื้อนิ่ม ไม่ทำให้เกิดอาการระคายคันจนผิวเกิดผื่น
  • เลือกซื้อเสื้อผ้าคุณภาพดี เพราะเสื้อผ้าราคาถูกมากๆ ใช้ได้ไม่กี่ครั้ง ตะเข็บอาจหลุดลุ่ย และเนื้อผ้าจะหยาบกระด้างระคายผิว
  • ควรเลือกเสื้อผ้าที่ใส่สบาย สีไม่ตก ผิวสัมผัสของเนื้อผ้าเรียบเนียน ไม่มีส่วนที่จะทำให้ลูกระคายผิวได้ เช่น ผ้าลูกไม้
  • ซื้อเสื้อผ้าที่ผลิตใหม่ ป้องกันเชื้อโรค เช่น เชื้อราสะสมอยู่ ยากต่อการทำลาย
  • เลือกเสื้อที่เย็บตะเข็บเรียบร้อย เพื่อไม่ให้ตะเข็บเสื้อลุ่ยออกมาระคายผิว
  • เสื้อผ้าสำหรับเด็กเล็กควรสำรวจกระดุมและเชือกผูกไม่ให้เป็นอันตรายกับเด็ก
  • หากอากาศเย็น เลือกถุงเท้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าคอตตอน ที่ระบายอากาศได้ดี ดูดซับเหงื่อ เพื่อไม่ให้เท้าอับชื้น และอาจทำให้มีกลิ่นเหม็นตามมา
  • ถุงเท้าไม่ควรรัดเท้าเกินไป เลือกขนาดที่พอดีเท้า ไม่ใหญ่เกินเท้า ไม่ยืด ไม่ย้วย
  • สำหรับผ้าอ้อมสำเร็จรูปนั้น ควรเลือกใช้ให้เหมาะกับอายุลูกและน้ำหนักตัว โดยเลือกตามตารางน้ำหนักของผ้าอ้อม ถ้าซื้อขนาดใหญ่มาก ขอบขาผ้าอ้อมจะใหญ่ตาม เวลาเคลื่อนไหวจะเสียดสีที่ขาลูก ทำให้ไม่สบายตัวได้
  • ผ้าอ้อมที่ดีใส่แล้วขอบด้านบนต้องอยู่ที่ระดับเอวลูก ติดแถบกาวแล้วกระชับพอดีต้นขา เช็กว่ากระชับ โดยดูว่าผ้าอ้อมไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือไม่ก็ลองสอดนิ้วเข้าไปจากขอบเอวด้านบน ถ้าสอดได้ก็ถือว่าโอเค ถ้าหลวมเกินไปจะไม่ซึมซับได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ถ้าคับแน่นไปก็เสียดสีกับขาลูกได้

ของเล่นสำหรับทารก
  • การนำสิ่งของที่อยู่แวดล้อมตัวมาเล่นกับลูก เป็นการพัฒนาให้ลูกเป็นคนช่างสังเกต ไม่เพิกเฉยต่อสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวด้วย
  • แรกเกิด-3 เดือน: วัยนี้แม้ว่าหนูจะนอนซะเป็นส่วนมาก แต่ก็พบว่าหนูจะตอบสนองต่อเสียงดนตรีได้ดีที่สุดเลย อีกทั้งยังต้องการพัฒนาการด้านสายตาและการสัมผัสเป็นพิเศษอีกด้วยซิ ของเล่นที่เหมาะกับหนูน่าจะเป็น โมบายล์หลากสี(โดยเฉพาะสีดำ ขาว แดง จะช่วยกระตุ้นสายตาของหนูได้ดี) เสียงดนตรีจากตุ๊กตาตัวโปรด หรือของเล่นที่ทำด้วยผ้านุ่มนิ่มให้หนูได้สัมผัส
  • 4-6 เดือน : ตอนนี้กล้ามเนื้อต่างๆ ของหนูเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้นแล้ว การคลายมือกำมือก็ทำได้ดีขึ้นด้วย ของเล่นที่เหมาะกับหนูน่าจะเป็น ของเล่นที่เคลื่อนไหวได้ จับถนัดมือ บีบได้ ขยำได้ มีพื้นผิวที่แตกต่าง มีเสียง ของเล่นผิวนุ่มจะช่วยคลายเครียด แล้วก็อย่าลืมของเล่นยางสำหรับอาการคันเหงือกด้วย
  • 7-9 เดือน: วัยนี้หนูซนสุดสุด นอกจากถนัด คลาน และเดินแล้ว หนูยังมีความสุขกับการฝึกกล้ามเนื้อมือ หยิบ จับปล่อย เคาะ แคะ ฯลฯ อีกด้วย แล้วหนูก็เป็นนักสำรวจตัวจิ๋ว ชอบรื้อ ชอบค้นคว้า และสนใจเรื่องขนาด รูปทรงเป็นพิเศษ ของเล่นสำหรับหนูวัยนี้ก็น่าจะเป็น ของเล่นกรุ๋งกริ๋ง คว้าจับเขย่ามีเสียง ของเล่นลากจูง บล็อกไม้หยอดรูปทรง ของเล่นประเภทตี เช่น กลอง ไม้เคาะ หนังสือผ้า หรือของเล่นที่เล่นกับน้ำ
  • 10-12 เดือน: วัยนี้หนูเริ่มสนใจสังคมรอบๆ ตัวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เริ่มสนใจพ่อแม่พี่น้อง และคนอื่นๆ จึงเริ่มมีความคิดที่ซับซ้อนขึ้น มีจินตนาการ ชอบเลียนแบบ มีเหตุมีผลเข้าใจโลกมากขึ้น ของเล่นของหนูวัยนี้น่าจะช่วยพัฒนาเรื่องความคิดมากขึ้น เช่น หนังสือนิทาน ตุ๊กตา หนังสือภาพสัตว์สีสันสดใส สมุดภาพระบายสี ตุ๊กตาสัตว์มีเสียงร้อง เช่น แมว ร้องเหมียวๆ หมาร้องโฮ่งๆ



กระโถน และอ่างอาบน้ำ
  • เลือกอ่างอาบน้ำสำหรับเด็กเท่านั้น อย่าให้มีความกว้างหรือลึกเกินไป เพราะว่าเด็กเล็กอาจจะลื่นไถลลงน้ำทำให้สำลักได้
  • มีจุกถ่ายน้ำด้านล่างเพื่อความสะดวกของคุณพ่อคุณแม่
  • หากเด็กมีอายุไม่ถึง 3 เดือน ให้ใช้ที่รองระหว่างอาบน้ำด้วย จะช่วยให้คุณอาบน้ำลูกง่ายขึ้น
  • อ่างอาบน้ำและกระโถนต้องใช้พลาสติกอย่างดี เหนียวไม่แตกง่าย ปลายขอบมนไม่แหลมคม หรือมีรอยต่อของพลาสติก
  • กระโถนควรมีรูปแบบลายการ์ตูน เช่น ตัวการ์ตูนหมี แถมยังมีสีสดใส ล่อตาล่อใจชวนให้นั่ง
  • ฐานกระโถนควรมั่นคง ไม่โงนเงน แล้วไม่ควรเบาบางเกินไปนั่งนานอาจจะหักได้ อีกทั้งเลือกให้เหมาะกับความยาวขาลูก ขณะนั่งเท้าต้องวางที่พื้นได้พอดี




อาหารสําหรับคนท้อง : 9 อาหารว่างทานง่ายมีประโยชน์ คุณแม่ท้องไม่ควรพลาด

คุณแม่ท้องสามารถเลือกทานอาหารได้หลากหลาย และสามารถทานได้วันละหลายๆมื้อต่อวัน อาหารที่คุณแม่รับประทานนั้นนอกจากมื้ออาหารหลักแล้ว คุณแม่ท้องสามารถทานอาหารว่าง เพื่อรอให้ถึงเวลาอาหารหลักก่อนได้ อาหารว่างที่แนะนำมีดังนี้ค่ะ




9 สารอาหารตัวช่วยลูกในครรภ์สมองดี (modernmom)
โดย : หน่วยอุ่น

           อยากให้ลูกสมองดี แม่ท้องต้องรู้จักกินอาหารที่มีสารอาหารช่วยบำรุงสมองลูกในครรภ์

9 สารอาหารแม่ท้องไม่ควรพลาด

           1. โปรตีน คือ สารอาหารหลักที่ร่างกายได้รับจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ โปรตีนมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสมอง ถ้าลูกได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ จะทำให้สมองมีขนาดเล็กกว่าปกติ

           แหล่งโปรตีน : มีมากในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ทุกชนิดและผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เช่น ปลา นม ไข่ ฯลฯ รวมถึงถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง เป็นต้น

           เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะโปรตีนเป็นสารอาหารหลักสำหรับร่างกายในการสร้างและเพิ่มขนาดเซลล์ สร้างน้ำนม เพิ่มปริมาตรเลือด สร้างน้ำย่อย สร้างภูมิคุ้มกัน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ โปรตีนจึงจำเป็นต่อแม่ท้องและลูกน้อยตั้งแต่แรกปฎิสนธิจนถึงกำหนดคลอด

            2. คาร์โบไฮเดรต เมื่อร่างกายย่อยอาหารประเภทแป้งแล้ว จะเปลี่ยนเป็นกลูโคสหรือน้ำตาลที่มีขนาดเล็กที่สุด เพื่อเป็นแหล่งพลังงานให้แก่ร่างกาย และเป็นอาหารที่จำเป็นของสมองของลูก

           แหล่งคาร์โบไฮเดรต : พบในข้าว ขนมปัง ธัญพืช พาสตา ผลไม้ น้ำตาล และน้ำผลไม้สด

           เหมาะสำหรับ : แม่ท้องไตรมาสที่ 1 เพราะหากแม่ท้องไตรมาสแรกมีอาการแพ้จากการตั้งครรภ์เนื่องจากฮอร์โมนไม่สมดุล คาร์โบไฮเดรตจะเป็นสารอาหารที่กินง่าย ย่อยง่าย เพียงสัมผัสกับ amylase ที่มีในน้ำลาย ก็ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสได้แล้ว เสริมพลังให้แม่ท้องได้ง่ายๆ

           3. ธาตุเหล็ก ทำหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง นำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ถ้าแม่ขาดธาตุเหล็กอย่างรุนแรง และลูกได้รับเหล็กไม่เพียงพอ อาจทำให้เด็กมีสติปัญญาด้อยกว่าปกติ

           แหล่งธาตุเหล็ก : มีมากในงา ตับสัตว์ เนื้อแดง ไข่แดง ผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ฯลฯ

           เหมาะสำหรับ : แม่ท้องไตรมาสที่ 2 และ 3 เพราะระบบประสาทและระบบโลหิตในทารกที่มีการพัฒนามาตั้งแต่เดือนแรกจนถึงเดือนที่สามจึงจะมีความสมบูรณ์ ขณะที่ร่างกายของแม่ท้องเริ่มสร้างและสะสมน้ำนม มีการเพิ่มปริมาตรเลือดในช่วงนี้ อาหารที่มีธาตุเหล็กเพียงพอจะทำให้เม็ดเลือดแดงดี คุณภาพน้ำนมดี

           4. ไอโอดีน มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางสมอง ระบบประสาท และความจำของลูก การขาดไอโอดีนเป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมและสติปัญญาด้อย

           แหล่งไอโอดีน : เกลือเสริมไอโอดีน อาหารทะเล เช่น ปลาทะเล กุ้ง หอย ปลาหมึก สาหร่ายทะเล ฯลฯ

           เหมาะสำหรับ : แม่ท้องไตรมาสที่ 2 และ 3 เพราะขณะตั้งครรภ์ต่อมไทรอยด์ทำงานมากขึ้น ร่างกายจึงต้องการไอโอดีนเพิ่มขึ้น

            5. โฟเลต ช่วยสร้างเซลล์สมอง ระบบประสาท และไขสันหลังให้เจ้าตัวเล็กในครรภ์

           แหล่งโฟเลต : พบมากในตับสัตว์ บร็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม และแคนตาลูป

           เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะโฟเลตเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการสร้างสารพันธุกรรม และทำให้เม็ดเลือดมีความสมบูรณ์ โดยเฉพาะไตรมาสแรกซึ่งมีการสร้างเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก หากแม่ท้องได้รับโฟเลตไม่เพียงพอในไตรมาสที่สองและสาม ทารกจะมีความเสี่ยงต่อพัฒนาการของสมองและประสาทไขสันหลัง อาจทำให้ทารกพิการทางสมองและประสาท ที่เรียกว่า neural tube defect

            6. โอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัวชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายของเราสร้างเองไม่ได้ ช่วยบำรุงเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพความจำ และสายตา

           แหล่งโอเมก้า 3 : พบมากในปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาโอ ปลาทู ปลาแซลมอน สาหร่ายทะเล ฯลฯ

           เหมาะสำหรับ :แม่ท้องไตรมาสที่ 2 และ 3 เพราะช่วงเดือนที่สอง ส่วนหัวของทารกพัฒนามากกว่าส่วนอื่น จำเป็นต้องได้รับโอเมกา3 เพื่อการเจริญเติบโตของเซลล์สมองและรอยหยักในสมอง โอเมกา3 ช่วยกระตุ้นเซลล์สมองให้ไวต่อการรับสัญญาณประสาท ในเนื้อปลาทะเลมีกรดอมิโน Thyrosine ซึ่งกระตุ้นสารสื่อนำประสาทสำคัญในสมองคือ Nerephinephrineและ Dopamine ทำให้สมองไวและมีสมาธิ มีความจำ เมื่อทารกคลอดสมองส่วนนี้จะเจริญต่อเนื่องจนเด็กอายุ 2 ขวบจึงเจริญเต็มที่

            7. วิตามินบี 2 ช่วยในการเจริญเติบโตและการพัฒนาสมองลูก ถ้าได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้สมองของทารกมีขนาดเล็ก

           แหล่งวิตามินบี 2 : มีมากในนม ไข่แดง เนื้อสัตว์ ตับ และโยเกิร์ต

           เหมาะสำหรับ :แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะวิตามินบี2 เป็นโคเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ผิวหนังไม่แห้งเป็นขุย ช่วยให้เม็ดเลือดแดงคงสภาพ รักษาสุขภาพของระบบประสาท

            8. วิตามินบี 6 ช่วยในการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาท

           แหล่งวิตามินบี 6 : พบมากในเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง และกล้วย

           เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะวิตามินบี6 ช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตร่วมกับวิตามินบี1แถมยังช่วยในการเผาผลาญโปรตีนและไขมันร่วมกับวิตามินบี 2 และบี 12

           ในช่วงไตรมาสแรกวิตามินบี 6 ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ลดอาการคลื่นไส้ ถ้าเด็กขาดวิตามินบี 6 จะทำให้ชักได้ค่ะ

            9. วิตามินบี 12 ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม ความจำเสื่อม และช่วยให้การทำงานของสมองและประสาทให้เป็นปกติ

           แหล่งวิตามินบี 12 : พบมากในอาหารประเภท ตับ เนื้อสัตว์ ไข่ นม และหอยนางรม

           เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะวิตามินบี12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงมีขนาดปกติ ไม่ขาดธาตุเหล็ก ช่วยให้การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เป็นไปตามปกติ เซลล์สมองได้เลือดหล่อเลี้ยง ได้รับสารอาหารและออกซิเจนอย่างเพียงพอ

           นอกจากกินอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารทั้ง 9 ชนิดแล้ว ต้องอย่าลืม "น้ำ" ด้วย เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของสมอง ช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ในสมอง คุณแม่ท้องควรดี่มน้ำบ่อยๆ ประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน หากอยากให้ลูกรักมีพัฒนาการทางสมองที่สมวัย
อาหารว่างที่แนะนำไปส่วนมากหาทานได้ง่าย และยังเป็นอาหารที่มีวิตามิน แร่ธาตุต่างๆที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ อีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูล กระปุ๊กดอทคอม : 
http://baby.kapook.com/view64875.html